WHO ปรับคำแนะนำฉีดวัคซีนโควิด-19 ใครยังควรฉีดเข็มกระตุ้นอยู่-
ในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ตลอด3 ปีที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลก (WHO) เป็นองค์กรหลักที่ออกคำแนะนำมาตรการและแนวทางปฏิบัติต่าง ๆ ที่เหมาะสม รวมถึงเรื่องของคำแนะนำในการฉีดวัคซีนด้วย
ล่าสุด WHO ประกาศปรับคำแนะนำในการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับโลกในยุคปัจจุบันที่หลายประเทศเริ่มกลับเข้าสู่ชีวิตปกติ โดยแนะนำว่า เด็กและวัยรุ่นที่มีสุขภาพดีอาจไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีน แต่กลุ่มผู้ที่มีอายุมากและมีความเสี่ยงสูง รวมถึงคนอายุน้อยที่มีปัจจัยเสี่ยง ยังควรได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นหลังฉีดเข็มล่าสุด 6-12 เดือน
หน่วยงานยังเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ พิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ก่อนที่จะฉีดวัคซีนให้ประชากรกลุ่มอายุน้อย โดยกล่าวว่า วัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นปลอดภัยสำหรับทุกวัย แต่อาจต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความคุ้มทุนคำพูดจาก นสล็อตออนไลน์
WHO กล่าวว่า เป้าหมายของการปรับเปลี่ยนนี้ คือการมุ่งเน้นไปที่ความพยายามในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับผู้ที่เสี่ยงต่อการป่วยรุนแรงและอาจเสียชีวิตหากติดเชื้อโควิด-19 โดยพิจารณาแล้วว่า ประชากรทั่วโลกมีระดับภูมิคุ้มกันที่สูง ซึ่งเกิดจากทั้งการติดเชื้อและการฉีดวัคซีนอย่างครอบคลุม
ส่วนผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงปานกลางนั้น อนามัยโลกประเมินว่า หากได้รับวัคซีน 2 เข็มแรกและวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องฉีดอีก เนื่องจากประโยชน์ที่ได้รับมีน้อย
องค์การอนามัยโลกกล่าวเมื่อเดือน ก.ย. ปีที่แล้วว่า การสิ้นสุดของโควิด-19 นั้นใกล้เข้ามาแล้ว และการปรับเปลี่ยนคำแนะนำล่าสุดนี้ เป็นการสะท้อนภาพสถานการณ์โรคในปัจจุบันและระดับภูมิคุ้มกันทั่วโลกได้เป็นอย่างดี
คำแนะนำดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ประเทศต่าง ๆ ใช้แนวทางที่แตกต่างกันออกไปในขณะนี้ ประเทศที่มีรายได้สูงบางประเทศ เช่น สหราชอาณาจักรและแคนาดา ได้เสนอวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นให้กลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูงแล้วในช่วงนี้
แฮนนา โนฮีเน็ก ประธานกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างภูมิคุ้มกันของ WHO ซึ่งเป็นผู้ออกคำแนะนำใหม่ กล่าวว่า “แผนงานฉบับแก้ไขเน้นย้ำถึงความสำคัญของการให้วัคซีนแก่ผู้ที่ยังคงมีความเสี่ยงเกิดโรคร้ายแรงหากติดเชื้อ”
คณะกรรมการยังเรียกร้องให้มีความพยายามอย่างเร่งด่วนในการติดตาม เกี่ยวกับผู้ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนโควิด-19 เลย และเตือนถึงการเพิ่มขึ้นของโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน เช่น โรคหัด
เรียบเรียงจาก Reuters
ภาพจาก AFP